- อาหารใต้ และรสเผ็ดร้อน
- การแพทย์แผนจีนกับริดสีดวงทวาร
- พริกแกงใต้ และผลกระทบต่อระบบทางเดินอาหาร และระบบขับถ่าย
- 1. การกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือดมากเกินไป
- 2. ส่งผลให้เกิดอาการท้องผูก
- 3. ทำให้เยื่อบุลำไส้อักเสบ
- 4. กระตุ้นให้เกิดอาการท้องเสียหรือถ่ายเหลว
- 5. เพิ่มความเสี่ยงต่อแผลในกระเพาะอาหาร และลำไส้
- 6. ทำให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อนขณะขับถ่าย
- แนวทางลดความเสี่ยงในการเกิดริดสีดวงจากการบริโภคอาหารใต้
ริดสีดวงทวารเป็นโรคที่พบได้ทั่วไป แต่มีรายงานว่าในพื้นที่ภาคใต้ของไทย อัตราการเกิดโรคนี้สูงกว่าภูมิภาคอื่นๆ จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2562 พบว่าภาคใต้มีอัตราผู้ป่วยโรคริดสีดวงทวารสูงกว่าภาคอื่นๆ ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีรสเผ็ดร้อนและเครื่องแกงเข้มข้น อาหารเหล่านี้ส่งผลต่อระบบทางเดินอาหารอย่างไร? และการกินเผ็ดมากมีผลต่อริดสีดวงจริงหรือไม่? เราจะพิจารณาปัจจัยทางการแพทย์แผนจีนและแนวคิดเกี่ยวกับพลังธาตุของอาหาร เพื่อทำความเข้าใจประเด็นนี้ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น (แหล่งที่มา: spd.moph.go.th)

อาหารใต้ และรสเผ็ดร้อน #
ภาคใต้ของไทยขึ้นชื่อเรื่องอาหารที่มีรสชาติจัดจ้าน หอมเครื่องเทศ และเผ็ดร้อนจากพริกแกงใต้ซึ่งมีส่วนผสมหลักเป็นพริกสด พริกแห้ง ขมิ้น ตะไคร้ กระเทียม และเครื่องเทศที่มีกลิ่นร้อนแรง พริกแกงใต้เหล่านี้ไม่เพียงแต่เพิ่มรสชาติให้กับอาหาร แต่ยังมีสรรพคุณช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือด ขับลม และช่วยย่อยอาหาร ซึ่งหากรับประทานอย่างเหมาะสมจะเป็นผลดีต่อร่างกาย
อย่างไรก็ตาม การบริโภคพริกในปริมาณมากอย่างต่อเนื่องอาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้ โดยเฉพาะเมื่อมีการบริโภคอาหารรสจัดเป็นประจำ เช่น แกงเหลือง แกงไตปลา คั่วกลิ้ง ซึ่งมีเครื่องเทศเผ็ดร้อนมาก สิ่งเหล่านี้อาจกระตุ้นการอักเสบภายในระบบทางเดินอาหาร นอกจากนี้ การกินอาหารที่เผ็ดร้อนมากเกินไป อาจส่งผลต่อผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เช่น โรคกระเพาะ กรดไหลย้อน และโดยเฉพาะโรคริดสีดวงทวาร
พริก และเครื่องเทศที่เผ็ดร้อนสามารถทำให้ลำไส้ทำงานเร็วขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการถ่ายเหลวหรือท้องเสียบ่อย ซึ่งอาจทำให้เกิดการระคายเคืองบริเวณทวารหนัก หากมีอาการริดสีดวงอยู่แล้ว อาการอาจรุนแรงขึ้นเนื่องจากความเผ็ดร้อนของพริกอาจทำให้เกิดการอักเสบและปวดแสบปวดร้อนขณะขับถ่าย นอกจากนี้ การบริโภคพริกในปริมาณมากยังอาจทำให้เส้นเลือดฝอยบริเวณทวารหนักขยายตัว ซึ่งเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดหรือทำให้อาการริดสีดวงกำเริบได้

การแพทย์แผนจีนกับริดสีดวงทวาร #
ในมุมมองของการแพทย์แผนจีน ริดสีดวงทวารเกิดจากความไม่สมดุลของพลังงานในร่างกาย โดยเฉพาะ “พลังงานร้อนชื้น” (湿热, ชือเร่อ) ที่สะสมในลำไส้และร่างกาย พลังงานนี้มักเกิดจากการบริโภคอาหารที่ร้อนเกินไป เช่น พริก เครื่องเทศจัดจ้าน เนื้อสัตว์มันๆ หรือแอลกอฮอล์ ซึ่งกระตุ้นให้เส้นเลือดในลำไส้ขยายตัวและเกิดการอักเสบ นำไปสู่ริดสีดวงทวาร
เมื่อพลังงานร้อนชื้นสะสมในร่างกาย อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่ อุจจาระแข็ง ท้องผูกเรื้อรัง มีอาการคันรอบทวารหนัก หรืออาจมีเลือดออกเมื่อถ่ายหนัก ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของริดสีดวง

พริกแกงใต้ และผลกระทบต่อระบบทางเดินอาหาร และระบบขับถ่าย #
อาหารใต้ขึ้นชื่อว่ามีรสชาติเผ็ดร้อนและอุดมไปด้วยเครื่องเทศที่มีสรรพคุณกระตุ้นระบบเผาผลาญและไหลเวียนโลหิต อย่างไรก็ตาม การบริโภคพริกแกงใต้ในปริมาณมากเป็นประจำ อาจส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินอาหารและระบบขับถ่ายได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์หรือปัญหาสุขภาพในระยะยาว
1. การกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือดมากเกินไป #
พริกเป็นอาหารที่มีฤทธิ์ร้อน กระตุ้นให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานอย่างรวดเร็ว ซึ่งช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม หากรับประทานมากเกินไป เลือดจะไปเลี้ยงที่เยื่อบุลำไส้และเส้นเลือดบริเวณทวารหนักมากขึ้น ทำให้เกิดการอักเสบและขยายตัวของหลอดเลือด นำไปสู่การเกิด ริดสีดวงทวาร หรือทำให้อาการริดสีดวงกำเริบ โดยเฉพาะในผู้ที่มีพฤติกรรมเบ่งอุจจาระบ่อยหรือท้องผูกเป็นประจำ
2. ส่งผลให้เกิดอาการท้องผูก #
อาหารรสเผ็ดจัดอาจทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากพริกมีฤทธิ์กระตุ้นให้ร่างกายขับเหงื่อออกมากขึ้น หากร่างกายขาดน้ำ อุจจาระจะแข็งขึ้น ทำให้ขับถ่ายลำบาก ต้องออกแรงเบ่งมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ริดสีดวงทวารลุกลาม ได้ง่ายขึ้น
3. ทำให้เยื่อบุลำไส้อักเสบ #
พริกมีสาร แคปไซซิน (Capsaicin) ซึ่งมีฤทธิ์ระคายเคืองต่อเยื่อบุของระบบทางเดินอาหาร หากรับประทานมากเกินไปอาจทำให้ ลำไส้ระคายเคือง และเกิดการอักเสบเรื้อรัง ซึ่งอาจนำไปสู่อาการปวดท้อง ท้องเสีย หรือรู้สึกแสบร้อนในช่องท้อง นอกจากนี้ ในบางรายที่มีลำไส้ไวต่อการกระตุ้น (Irritable Bowel Syndrome – IBS) อาจทำให้อาการกำเริบได้
4. กระตุ้นให้เกิดอาการท้องเสียหรือถ่ายเหลว #
สารแคปไซซินในพริกอาจมีผลกระทบต่อกระเพาะอาหารและลำไส้ โดยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องเสีย หรือถ่ายเหลวได้ โดยเฉพาะในผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับอาหารรสจัด การถ่ายเหลวหรือถ่ายบ่อยเกินไปอาจทำให้เกิด ภาวะขาดน้ำ และทำให้เยื่อบุทางเดินอาหารเกิดการระคายเคือง ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงของการอักเสบของลำไส้และทวารหนัก
5. เพิ่มความเสี่ยงต่อแผลในกระเพาะอาหาร และลำไส้ #
แม้ว่าสารแคปไซซินจะมีสรรพคุณต้านการอักเสบและช่วยป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารได้ในบางกรณี แต่ในทางกลับกัน หากรับประทานอาหารเผ็ดร้อนเป็นประจำในปริมาณมาก อาจทำให้เยื่อบุทางเดินอาหารระคายเคืองจนเกิด แผลในกระเพาะอาหารหรือแผลในลำไส้ ได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีอาการของโรคกระเพาะอาหารอยู่แล้ว
6. ทำให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อนขณะขับถ่าย #
พริก และเครื่องเทศที่เผ็ดร้อนสามารถผ่านระบบทางเดินอาหารและออกมาพร้อมกับอุจจาระ ทำให้บางคนรู้สึก ปวดแสบปวดร้อนบริเวณทวารหนัก ขณะขับถ่าย โดยเฉพาะในผู้ที่มีอาการริดสีดวงทวารหรือแผลบริเวณทวารหนัก อาการนี้อาจทำให้เกิดความไม่สบายตัวและทำให้หลีกเลี่ยงการขับถ่าย ซึ่งอาจนำไปสู่อาการท้องผูกและทำให้อาการริดสีดวงแย่ลง
แนวทางลดความเสี่ยงในการเกิดริดสีดวงจากการบริโภคอาหารใต้ #
- ลดปริมาณพริกแกงและอาหารเผ็ด – ไม่จำเป็นต้องงด แต่ควรลดปริมาณพริกและเครื่องเทศที่เผ็ดร้อน ลดการบริโภคอาหารรสจัดในช่วงที่มีอาการริดสีดวงกำเริบ
- เพิ่มเส้นใยในอาหาร – ควรรับประทานผักและผลไม้ให้มากขึ้น เช่น กล้วย มะละกอ ข้าวกล้อง และเมล็ดธัญพืช เพื่อช่วยให้การขับถ่ายคล่องตัว ลดความเสี่ยงของอาการท้องผูก
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ – น้ำช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงของอุจจาระแข็งและการเบ่งแรง
- หลีกเลี่ยงอาหารมันและทอด – อาหารประเภทนี้ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนักขึ้นและเป็นปัจจัยที่ทำให้ลำไส้อักเสบ
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ – การออกกำลังกายช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น ลดการคั่งของเลือดบริเวณทวารหนัก
- ใช้สมุนไพรช่วยปรับสมดุลพลังงานร้อนชื้น – ตามหลักแพทย์แผนจีน สมุนไพรที่ช่วยลดพลังงานร้อนชื้น เช่น รากบัว โกฐเชียง หรือสมุนไพรเย็น เช่น ใบบัวบก สามารถช่วยลดการอักเสบและบรรเทาอาการของริดสีดวงได้
แม้ว่าคนใต้จะนิยมรับประทานอาหารที่มีพริกแกงเข้มข้นและรสชาติเผ็ดร้อน ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพในบางด้าน แต่การรับประทานในปริมาณมากและต่อเนื่องอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อริดสีดวงทวาร โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะร้อนชื้นสะสมอยู่เดิม การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน ลดการบริโภคอาหารที่มีฤทธิ์ร้อนมากเกินไป พร้อมกับการเสริมอาหารที่มีเส้นใยและดื่มน้ำให้เพียงพอ จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคนี้ได้
สุดท้าย การดูแลสุขภาพตามหลักแพทย์แผนจีนควบคู่กับการเลือกรับประทานอาหารอย่างเหมาะสม จะช่วยให้ร่างกายสมดุลและลดโอกาสเกิดริดสีดวงทวารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อ้างอิง
Petcharavej Hospital, 2023, อาหารที่มีผลต่อโรคริดสีดวงทวาร, https://www.petcharavejhospital.com/th/Article/article_detail/Food_for_HEMORRHOIDS
TCI Thai Journal, 2020, การแพทย์แผนจีนกับโรคริดสีดวงทวาร, https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JTTAM/article/download/232164/158521/783832