ริดสีดวงทวารเป็นปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในคนทุกเพศทุกวัย สาเหตุสำคัญมาจากการทานอาหารที่มีกากใยน้อย การนั่งนาน ๆ และระบบย่อยอาหารที่ทำงานผิดปกติ ในทางแพทย์แผนจีน โรคริดสีดวงทวารเกิดจากความร้อนและความชื้นสะสมในร่างกาย ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก ส่งผลให้เกิดอาการบวม เจ็บปวด และคันบริเวณทวารหนัก
โชคดีที่ธรรมชาติมีทางรักษาให้เราเสมอ โดยเฉพาะวัตถุดิบที่หาได้ง่ายในครัวเรือน ซึ่งสามารถช่วยบรรเทาอาการริดสีดวงทวารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลองมาดูกันว่า สมุนไพรแก้ริดสีดวง ที่หาได้จากวัตถุดิบในครัวที่เราคุ้นเคย สามารถช่วยรักษาและบรรเทาอาการได้อย่างไร
คุณสมบัติของ สมุนไพรแก้ริดสีดวง #
- ลดการอักเสบและบวม – ช่วยบรรเทาอาการบวมของเส้นเลือดบริเวณทวารหนัก เช่น ใบบัวบก ขมิ้นชัน
- ช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรง – ป้องกันการแตกและอักเสบของเส้นเลือด เช่น มะขามป้อม รากหญ้าคา
- สมานแผลและลดอาการเลือดออก – ลดการระคายเคืองและช่วยให้แผลสมานตัวเร็วขึ้น เช่น ว่านหางจระเข้ เพชรสังฆาต
- ช่วยระบายอ่อนๆ ป้องกันท้องผูก – ทำให้ขับถ่ายง่ายขึ้น ลดการเสียดสีของอุจจาระ เช่น มะขามแขก ลูกพรุน
- ต้านเชื้อแบคทีเรียและลดอาการคัน – ป้องกันการติดเชื้อและลดอาการคัน เช่น น้ำมันมะพร้าว ฟ้าทะลายโจร
เราไปดูสมุนไพรแก้ริดสีดวงที่หาได้จากในครัว ซึ่งมีคุณสมบัติการรักษาเหล่านี้ เพื่อใช้เป็นยารักษาริดสีดวงตามธรรมชาติได้ ทั้งในรูปแบบของอาหาร ยาต้ม หรือการทาเฉพาะที่ เพื่อช่วยบรรเทาอาการและลดการเกิดริดสีดวงซ้ำ!
กระเทียม – สมุนไพรที่ช่วยต้านการอักเสบ #

วิธีการใช้: #
กระเทียมเป็นหนึ่งในสมุนไพรที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในศาสตร์แพทย์แผนจีน เพราะมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและช่วยปรับสมดุลเลือด วิธีใช้กระเทียมในการรักษาริดสีดวงทวารมีหลายวิธี
- ทานสด : เคี้ยวกระเทียมสดวันละ 1-2 กลีบ ช่วยลดการอักเสบและทำให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้น
- ทำเป็นยาพอก : บดกระเทียมให้ละเอียด ผสมกับน้ำอุ่นเล็กน้อย แล้วใช้สำลีชุบทาบริเวณที่เป็นริดสีดวง จะช่วยลดอาการบวมและลดอาการคัน
ผลข้างเคียงการรักษา: #
รับประทานกระเทียมให้ปลอดภัย – แม้ว่ากระเทียมจะมีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ แต่การรับประทานในปริมาณมากหรือในบางกรณีอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่คุณต้องสังเกตุด้วยตัวเอง
- ระคายเคืองทางเดินอาหาร – อาจทำให้เกิดอาการแสบท้อง ท้องอืด ท้องเสีย หรือเรอมากขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีระบบย่อยอาหารที่ไวต่อการระคายเคือง
- กลิ่นปากและกลิ่นตัว – สารอัลลิซินในกระเทียมอาจทำให้เกิดกลิ่นปากและกลิ่นตัวที่แรงขึ้น
- ทำให้เลือดแข็งตัวช้าลง – กระเทียมมีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการมีเลือดออกง่าย โดยเฉพาะในผู้ที่กำลังใช้ยาละลายลิ่มเลือด
- ลดความดันโลหิตมากเกินไป – ผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำควรระวัง เพราะกระเทียมอาจทำให้ความดันลดลงมากเกินไป
- เกิดอาการแพ้ – บางคนอาจแพ้กระเทียม ทำให้เกิดผื่นคัน ผิวหนังอักเสบ หรือหายใจลำบาก
- ระคายเคืองผิวหนัง – หากใช้กระเทียมสดสัมผัสกับผิวโดยตรง อาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรือแสบร้อน
ข้อควรระวัง: #
- กำลังจะรับการผ่าตัดริดสีดวง – หลีกเลี่ยงการรับประทานกระเทียมในปริมาณมากก่อนการผ่าตัด เพราะอาจทำให้เลือดไหลไม่หยุด
- เป็นโรคกระเพาะอาหาร – ผู้ที่มีปัญหากระเพาะอาหาร ควรรับประทานกระเทียมร่วมกับอาหารเพื่อลดการระคายเคือง
- อยู่ระหว่างใช้ยา – หากใช้ยาละลายลิ่มเลือดหรือยาลดความดัน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานกระเทียมเสริม
น้ำผึ้ง – ลดการอักเสบและช่วยสมานแผล #

วิธีการใช้: #
น้ำผึ้งเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณหลากหลาย ใช้เป็นยาในแพทย์แผนจีนมาตั้งแต่โบราณ เนื่องจากมีฤทธิ์ช่วยสมานแผล ลดการอักเสบ และมีสารต้านจุลชีพ
- ทาภายนอก : ใช้น้ำผึ้งบริสุทธิ์ทาบริเวณที่เป็นริดสีดวง จะช่วยลดอาการปวดและเร่งการฟื้นฟูของเนื้อเยื่อ
- ดื่มน้ำผึ้งผสมกับน้ำอุ่น : ดื่มวันละ 1 แก้ว ช่วยให้ลำไส้ทำงานดีขึ้น และลดโอกาสเกิดริดสีดวงจากอาการท้องผูก
ผลข้างเคียงการรักษา: #
แม้ว่าน้ำผึ้งจะมีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบ สมานแผล และให้ความชุ่มชื้น แต่ก็อาจมีผลข้างเคียงในบางกรณีสำหรับผู้ป่วยบางท่าน ซึ่งควรให้ความสำคัญและสังเกตุการเปลี่ยนแปลงด้วยตัวเอง
- อาการแพ้ – บางคนอาจแพ้น้ำผึ้ง ทำให้เกิดผื่นคัน ผิวหนังอักเสบ หรือหายใจลำบาก โดยเฉพาะผู้ที่แพ้เกสรดอกไม้หรือผึ้ง
- ระดับน้ำตาลในเลือดสูง – น้ำผึ้งมีน้ำตาลสูง อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงได้ ไม่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมน้ำตาล
- ทำให้ฟันผุ – น้ำผึ้งมีน้ำตาลธรรมชาติ หากรับประทานบ่อยโดยไม่ดูแลสุขภาพช่องปาก อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อฟันผุ
- ปัญหาทางเดินอาหารในเด็กเล็ก – ไม่ควรให้น้ำผึ้งแก่เด็กอายุต่ำกว่า 1 ขวบ เพราะอาจมี เชื้อแบคทีเรีย Clostridium botulinum ที่ทำให้ เกิดภาวะโบทูลิซึม (botulism) ซึ่ง เป็นอันตรายต่อระบบประสาท
ข้อควรระวัง: #
- การใช้น้ำผึ้งทาภายนอก – แม้ว่าน้ำผึ้งจะช่วยลดการอักเสบและสมานแผล แต่ควรเลือกน้ำผึ้งแท้และสะอาด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- การรับประทานเพื่อบรรเทาอาการ – ควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสม เนื่องจากน้ำผึ้งมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ หากรับประทานมากเกินไป อาจทำให้ท้องเสีย
- เลือกน้ำผึ้งคุณภาพดี – น้ำผึ้งบางชนิดอาจมีสารปนเปื้อน เช่น น้ำผึ้งปลอมที่ผสมน้ำตาล อาจทำให้ไม่ได้รับประโยชน์ทางยาอย่างแท้จริง
- หลีกเลี่ยงในผู้ที่เป็นเบาหวาน – ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานน้ำผึ้ง หากมีภาวะดื้ออินซูลินหรือน้ำตาลในเลือดสูง
ขิง – กระตุ้นการไหลเวียนเลือด #

วิธีการใช้: #
ขิงเป็นสมุนไพรที่ช่วยขับความเย็นและความชื้นออกจากร่างกาย ในกรณีของริดสีดวงทวาร ขิงช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ลดอาการอักเสบ และบรรเทาอาการปวด
- ดื่มน้ำขิงอุ่น : ใช้ขิงสดหั่นเป็นแว่น ๆ ต้มในน้ำ 10-15 นาที แล้วดื่มขณะอุ่น จะช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานดีขึ้น
- พอกแผล : ใช้น้ำขิงผสมกับน้ำมันมะพร้าวแล้วทาบริเวณริดสีดวง ช่วยบรรเทาอาการบวมและอักเสบ
ผลข้างเคียงการรักษา: #
แม้ว่าขิงจะมีฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบ กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต และช่วยย่อยอาหาร ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่เป็นริดสีดวง แต่ก็อาจมีผลข้างเคียงในผู้ป่วยบางท่าน ซึ่งต้องสังเกตุอาการด้วยตัวเองอย่างใส่ใจ
- ระคายเคืองกระเพาะอาหาร – ขิงมีความเผ็ดร้อน หากรับประทานในปริมาณมากอาจทำให้เกิดอาการแสบท้อง ปวดท้อง หรือกระเพาะอาหารระคายเคือง
- ทำให้เลือดแข็งตัวช้าลง – ขิงมีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการมีเลือดออกง่าย หรือเลือดออกมากขึ้นในผู้ป่วยริดสีดวงที่มีภาวะเลือดออกทางทวารหนัก
- ลดความดันโลหิต – อาจทำให้ความดันโลหิตลดลงมากเกินไป โดยเฉพาะในผู้ที่ใช้ยาลดความดันโลหิตอยู่แล้ว
- เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดต่ำเกินไป – สำหรับผู้ที่เป็นเบาหวาน ขิงอาจลดระดับน้ำตาลในเลือดมากเกินไปหากรับประทานร่วมกับยาลดน้ำตาล
- อาการแพ้ – บางคนอาจแพ้ขิง ทำให้เกิดผื่นคัน ระคายเคืองผิว หรืออาการแพ้อื่นๆ
ข้อควรระวัง: #
ใช้และสังเกตุอาการ – แม้ว่าขิงจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพและช่วยบรรเทาอาการริดสีดวงได้ดี แต่การใช้ต้องอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะและคำนึงถึงข้อควรระวังเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น!
- ใช้ในปริมาณที่พอเหมาะ – การรับประทานขิงในปริมาณที่มากเกินไปอาจกระตุ้นการระคายเคืองและทำให้อาการริดสีดวงแย่ลง
- มีภาวะเลือดจาง – ขิงอาจทำให้เลือดออกง่ายขึ้น ควรหลีกเลี่ยงหากมีเลือดออกจากริดสีดวงบ่อย
- ผู้ป่วยโรคกระเพาะหรือกรดไหลย้อน – ขิงอาจเพิ่มการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้อาการแย่ลง
- ลดปริมาณหรือหยุดใช้ก่อนการผ่าตัด – เนื่องจากขิงมีผลต่อการแข็งตัวของเลือด ควรหยุดรับประทานขิงอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนเข้ารับการผ่าตัด
- ผู้ป่วยที่กำลังใช้ยา – ผู้ที่ใช้ยาละลายลิ่มเลือดหรือยาควบคุมน้ำตาลในเลือด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
ว่านหางจระเข้ – สมุนไพรเย็น ช่วยสมานแผล #

วิธีการใช้: #
ว่านหางจระเข้เป็นสมุนไพรที่ช่วยลดอาการอักเสบและระคายเคือง โดยมีฤทธิ์เย็นตามหลักแพทย์แผนจีน ใช้ในการรักษาริดสีดวงทวารได้ง่าย ๆ ดังนี้:
- ทาภายนอก : ใช้วุ้นว่านหางจระเข้สดทาบริเวณที่เป็นริดสีดวง ช่วยลดอาการอักเสบและบรรเทาความเจ็บปวด
- ดื่มน้ำว่านหางจระเข้ : คั้นน้ำว่านหางจระเข้สด ดื่มวันละ 1 แก้ว ช่วยให้ลำไส้ทำงานดีขึ้น ลดอาการท้องผูก
ผลข้างเคียงการรักษา: #
แม้ว่าว่านหางจระเข้จะมีสรรพคุณช่วยลดการอักเสบ สมานแผล และให้ความชุ่มชื้น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการรักษาริดสีดวง แต่ก็อาจมีผลข้างเคียงกับผู้ป่วยบางท่าน จึงควรสังเกตุอาการผิดปกติด้วยตัวเอง
- อาการแพ้และระคายเคืองผิวหนัง – การใช้ว่านหางจระเข้ทาภายนอกอาจทำให้บางคนเกิดอาการแพ้ เช่น ผื่นแดง คัน หรือแสบร้อน
- อาการท้องเสีย – ว่านหางจระเข้มีฤทธิ์เป็นยาระบาย หากรับประทานในปริมาณมากอาจทำให้เกิดอาการท้องเสียหรือปวดเกร็งท้อง
- ลดระดับน้ำตาลในเลือด – อาจทำให้น้ำตาลในเลือดลดลงมากเกินไป โดยเฉพาะในผู้ป่วยเบาหวานที่รับประทานยาลดน้ำตาล
- ทำให้ระดับโพแทสเซียมในร่างกายลดลง – การใช้ว่านหางจระเข้เป็นยาระบายบ่อยๆ อาจทำให้โพแทสเซียมต่ำ ส่งผลให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง หัวใจเต้นผิดจังหวะ
- ทำให้เลือดออกง่ายขึ้น – มีรายงานว่าว่านหางจระเข้อาจส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงของการมีเลือดออก
ข้อควรระวัง: #
ว่านหางจระเข้เป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์ในการบรรเทาอาการริดสีดวง การใช้และสังเกตุผลข้างเคียงด้วยตัวเอง จะช่วยให้เกิดความระวัง โดยเฉพาะการรับประทาน หรือการใช้ในผู้ที่มีภาวะสุขภาพบางอย่าง!
- ล้างยางสีเหลืองให้หมด – หากนำว่านหางจระเข้สดมาใช้ ควรล้างยางสีเหลือง (สารอะโลอิน) ออกให้หมด เพราะอาจทำให้ระคายเคืองผิวหนังและมีฤทธิ์เป็นยาระบาย
- ทานในปริมาณที่พอดี – อาจทำให้เกิดอาการท้องเสียและขับถ่ายมากเกินไป ซึ่งอาจกระตุ้นริดสีดวงให้แย่ลง
- ผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่าย ควรหลีกเลี่ยง – เนื่องจากว่านหางจระเข้อาจส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด
- หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร – อาจกระตุ้นให้มดลูกบีบตัว และไม่มีข้อมูลเพียงพอเกี่ยวกับความปลอดภัยในระหว่างการให้นมบุตร
- คนแพ้ง่าย ต้องทดสอบ – ทาบริเวณข้อพับแขนเล็กน้อยแล้วสังเกตอาการภายใน 24 ชั่วโมง
น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล – ลดอาการบวม และคัน #

วิธีการใช้:
น้ำส้มสายชูหมักเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการรักษาริดสีดวงทวาร เพราะช่วยลดอาการบวม คัน และอักเสบ
- ใช้อาบน้ำแช่: เติมน้ำส้มสายชูหมัก 1 ถ้วยลงในอ่างน้ำอุ่น แล้วนั่งแช่ประมาณ 15 นาที จะช่วยลดอาการระคายเคืองและบรรเทาอาการปวด
- ทาภายนอก: ผสมน้ำส้มสายชูหมักกับน้ำในอัตราส่วน 1:1 แล้วใช้สำลีชุบ ทาบริเวณริดสีดวงทวารเพื่อลดอาการบวม
ผลข้างเคียงการรักษา: #
แม้ว่าน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล (Apple Cider Vinegar – ACV) จะมีสรรพคุณช่วยลดการอักเสบและต้านเชื้อแบคทีเรีย แต่ก็อาจมีผลข้างเคียงในผู้ป่วยบางท่าน จึงแนะนำให้สังเกตุอาการผิดปกติอย่างใกล้ชิด
- ระคายเคืองผิวหนัง – การใช้น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลทาโดยตรงอาจทำให้เกิดอาการแสบ คัน หรือระคายเคืองผิว โดยเฉพาะบริเวณริดสีดวงที่มีแผลหรือบวม
- ทำให้แผลริดสีดวงแย่ลง – ความเป็นกรดสูงของ ACV อาจทำให้เนื้อเยื่อรอบทวารหนักระคายเคือง และอาจเพิ่มอาการเจ็บปวด
- อาการแสบท้องหรือกรดไหลย้อน – การรับประทาน ACV ในปริมาณมากอาจเพิ่มกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดอาการแสบท้องหรือกระตุ้นกรดไหลย้อน
- ทำลายเคลือบฟัน – กรดในน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลสามารถกัดกร่อนเคลือบฟัน ทำให้ฟันเสื่อมเร็วขึ้น หากดื่มโดยไม่เจือจาง
- อาจลดระดับโพแทสเซียมในเลือด – การบริโภค ACV ในปริมาณมากอาจทำให้โพแทสเซียมในเลือดลดลง ส่งผลให้เกิดอาการอ่อนแรงหรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ
- ทำให้เลือดออกง่ายขึ้น – มีรายงานว่า ACV อาจส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงของเลือดออกในผู้ป่วยริดสีดวงที่มีภาวะเลือดออกทางทวารหนัก
ข้อควรระวัง:
เจือจางก่อนใช้เสมอ! – แม้ว่าน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลจะมีประโยชน์ แต่การใช้อย่างไม่ระมัดระวังอาจทำให้อาการริดสีดวงแย่ลงหรือส่งผลเสียต่อสุขภาพ
- ควรเจือจางก่อนใช้ – หากใช้ทาภายนอก ควรผสมน้ำในอัตราส่วน 1:1 หรือมากกว่าเพื่อลดความเป็นกรดและป้องกันการระคายเคือง
- ไม่ควรใช้กับริดสีดวงที่มีแผลเปิด – เพราะอาจทำให้เกิดอาการแสบและทำให้แผลหายช้าลง
- ห้ามรับประทานในปริมาณมาก – หากใช้ดื่มเพื่อช่วยย่อยหรือปรับสมดุลลำไส้ ควรผสม 1-2 ช้อนชากับน้ำ 1 แก้ว และไม่ควรดื่มเกินวันละ 2 ครั้ง
- ผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารหรือกรดไหลย้อน – ควรหลีกเลี่ยงเพราะอาจทำให้อาการแย่ลง
- ควรดื่มโดยใช้หลอด หรือบ้วนปากหลังดื่ม – เพื่อลดผลกระทบต่อเคลือบฟัน
- ผู้ที่ใช้ยาละลายลิ่มเลือดหรือยาลดน้ำตาลในเลือด – ACV อาจส่งผลต่อระดับน้ำตาลและการแข็งตัวของเลือด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
การรักษาริดสีดวงง่ายๆ ที่บ้านด้วยวัตถุดิบในครัวตามศาสตร์แพทย์แผนจีน เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ วัตถุดิบอย่างกระเทียม น้ำผึ้ง ขิง ว่านหางจระเข้ และน้ำส้มสายชูหมัก ล้วนมีสรรพคุณช่วยลดอาการอักเสบ กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต และช่วยให้แผลสมานตัวได้เร็วขึ้น หากนำไปใช้ควบคู่กับการปรับพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิต ย่อมช่วยให้ห่างไกลจากปัญหาริดสีดวงได้อย่างยั่งยืน
อ้างอิง
- โรงพยาบาลกรุงเทพ, 2025, “ริดสีดวงทวาร ถ่ายเป็นเลือดจนเสี่ยงภาวะเลือดจาง”, https://www.bangkokhospital.com/content/hemorrhoids?utm_source=chatgpt.com
- โรงพยาบาลกรุงเทพ, 2025, “ถาม – ตอบเรื่องท้องผูกเรื้อรัง อย่าปล่อยไว้จนเป็นริดสีดวง”,https://www.bangkokhospital.com/content/questions-about-chronic-constipation-and-hemorrhoids?utm_source=chatgpt.com
โรงพยาบาลกรุงเทพ, 2025, “อย่าปล่อยให้เลือดคั่งจนริดสีดวงแตก”, https://www.bangkokhospital.com/content/do-not-let-broken-hemorrhoids?utm_source=chatgpt.com
โรงพยาบาลกรุงเทพ, 2025, “อาการถ่ายเป็นเลือด อาจเสี่ยงริดสีดวงหรือมะเร็งลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย”, https://www.bangkokhospital.com/content/blood-transfusion-symptoms-may-risk-hemorrhoids-rectal-cancer?utm_source=chatgpt.com
โรงพยาบาลกรุงเทพ, 2025, “ริดสีดวงกับคุณแม่ตั้งครรภ์”, https://www.bangkokhospital.com/content/hemorrhoids-with-pregnant-mother?utm_source=chatgpt.com
โรงพยาบาลศิริราช, 2025, “ผ่าตัดริดสีดวงทวาร อย่างไรไม่ให้เจ็บ (หรือเจ็บน้อย)”,https://www.si.mahidol.ac.th/th/healthdetail.asp?aid=948&utm_source=chatgpt.com